/*----Yahoo site map-------*/ /*----Bing site map-------*/

ค้นหาอะไรก็เจอ

วันเสาร์ที่ 7 พฤศจิกายน พ.ศ. 2552

วันสิ้นโลก.. ทําไมหนังต้องเจาะจงปี 2012

0 ความคิดเห็น

Written by Kittivud

Tuesday, 04 August 2009 23:54

อย่างที่เพื่อนๆทราบกันว่า ภาพยนตร์เรื่อง 2012 ของ Roland Emmerich จะเข้าฉายในวันที่ 10 กรกฎาคม 2009 นี้ ทําไมหนังต้องพูดถึงปี 2012 คําทํานายมายันคืออะไร ? ทําไมต้องเจาะจงปี 2012 ? (เหมือนภาพยนตร์หลายๆเรื่องที่ผ่านมา ก็มีการพูดถึงปีเดียวกันนี้) ผมได้รวบรวมคําทํานายมาให้อ่านในกระทู้นี้แล้วครับ

ชาวมายาคือใคร และอยู่ตรงไหน

อาณาจักรมายา ตั้งอยู่ในอเมริกากลาง มีพื้นที่บริเวณประเทศเม็กซิโกคาบเกี่ยวกับเบลีซและกัวเตมาลา มีความรุ่งเรืองช่วง 500 ปีก่อนคริสตกาลจนถึง ค.ศ. 1502 มีจุดศูนย์กลางอยู่ที่นครวากา ปัจจุบันคือ เอลเปรู มีอายุร่วมสมัยเดียวกับอารยธรรมเตโอตีอัวกาน (Teotihuacán) ซึ่งถือว่าเป็นอาณาจักรที่ใหญ่มากเพราะมีพื้นที่กินถึง ประเทศคือเม็กซิโก กัวเตมาลา และฮอนดูรัส

ตามประวัติ อาณาจักรแห่งนี้เจริญรุ่งเรืองไพศาลมาก มีอายุยาวนานนับได้ 2000ปี ตั้งแต่คริสต์ศักราช 250 อาณาจักรแห่งนี้มีซากสิ่งก่อสร้างที่ใหญ่โตน่าทึ่งที่สุด ไว้เป็นมรดกโลก และฝากปริศนาให้คนรุ่นหลังขบคิดกันว่าเกิดจากสาเหตุใด

อาณาจักรมายาเป็นอาณาจักรแสนยิ่งใหญ่ที่ประกอบด้วยเมืองเอกหลายเมืองด้วยกันมีเมืองสำคัญหลายเมือง คือ เมืองติกัล (Tikal) เพเตน (Peten) ในประเทศกัวเตมาลา ปาเลงกอ (Palenque) ในภาคใต้ของประเทศเม็กซิโก เมืองโคปัน (Copan) ในประเทศฮอนดูรัส เมือง อิทซา (Itzar) อักซ์มัล (Uxmal) และมายาปัน (mayapan) ในบริเวณคาบสมุทรยูคาตัน เมืองของชาวมายา ประกอบด้วยชุมชนเกษตรอยู่ชั้นนอก ชุมชนเมืองอยู่ชั้นในล้อมรอบจุดศูนย์กลางซึ่งเป็นบริเวณสิ่งก่อสร้างที่ใช้ประกอบพิธีกรรมต่างๆ ซึ่งสิ่งก่อสร้างนั้นมีหลายแบบ เช่น ปิรามิด วิหาร ปละปราสาทราชวัง ซึ่งสร้างจากศิลาล้วนๆ บ่บอกความเจริญรุ่งเรืองของชาวมายาอย่างดี

ในระหว่างปี พ.ศ. 800-1450 ซึ่งเป็นระยะเวลาที่ยุโรปกำลังตกอยู่ในยุคมืดแห่งอวิชชา แต่สำหรับชาวมายานั้น ตามประวัติศาสตร์ได้จารึกว่า ในระยะเวลาดังกล่าว อารยธรรมมายาได้เจริญรุ่งเรืองสุดขีดมากๆได้สร้างพีระมิดและพระราชวังที่มโหฬารและวิจิตรอลังการมากมาย

ชาวมายามาจากไหนแน่

นักโบราณคดีหลายคน ต่างพยายามศึกษาความเป็นมาของเผ่านี้ จากหลักฐานโบราณคดีที่เหลืออยู่ แต่ก็สับสนอยู่ดีว่าพวกเขามาจากไหนกันแน่
มีศิลาจารึกขนาดใหญ่ ที่เขียนข้อความอย่างละเอียดเต็มไปหมด ตั้งตระหง่านอยู่กลางเมือง ซึ่งแสดงว่าชาวมายามีภาษาเป็นของตนเองและชอบบันทึกประวัติศาสตร์ แต่..น่าเสียดาย ในข้อความศิลาจารึกนั้นกลับไม่มีใครสักคนที่อ่านออก ตีความได้สักคนเดียว

สิ่งที่เรารู้เกี่ยวกับมายา สันนิษฐานว่า ชาวมายาอาจสืบเชื้อสายมาจากอิสราเอล ไม่ก็กรุงทรอย คาร์เธจ ฮั่น แอตแลนติส ฯลฯปกครองด้วยระบบกษัตริย์ เรียกว่า คูฮุลอะฮอว์ (K'uhul ajaw) หรือ เทวกษัตริย์ ใช้อักษรภาพในการบันทึก มีความสามารถทางดาราศาสตร์ จนสามารถทำนายเวลาเกิดสุริยุปราคาและจันทรุปราคาได้ล่วงหน้าเป็นเวลานาน รู้จักทำปฏิทินใช้ รู้จักประดิษฐ์เลขศูนย์ใช้ในวิชาคณิตศาสตร์ รู้จักค้าขายเกลือ หยก และเครื่องปั้นดินเผา แต่ชาวมายาไม่รู้จักใช้ล้อและไม่รู้จักการถลุงแร่ ซึ่งแสดงว่าชาวมายาดำรงชีวิตเหมือนมนุษย์หินที่รู้จักใช้เพียงไม้ กระดูกสัตว์ หินปูน และหินทรายในการสร้างเมือง

นอกจากนี้ ชาวมายานับถือเทพเจ้ามาก และมีเทพเจ้ามากมาย ทั้งสุริยเทพ วสันตเทพ และมรณเทพ เทพเจ้าเหล่านี้ทรงโปรดปรานการเสวยเลือด ดังนั้น เหล่าเชลยศึกสงครามจะถูกชาวมายาฆ่าเพื่อเอาเลือดไปถวายเทพ(บางครั้งก็เลือกกันเองในเผ่า)แน่นอนมีตำนานเกี่ยวกับที่มาของชนเผ่านี้ด้วย จากคำบอกเล่าว่ากันว่า ชาวมายาสืบเชื้อสายจากพระเจ้าผิวสีขาว มีเครายาว และเดินทางมาจากฟากฟ้าโพ้น..



อาณาจักรมายามีซากสิ่งก่อสร้างหลายแห่งหลายที และแต่ละที่นั้นถูกขึ้นบัญชีเป็นมรดกโลกทั้งสิ้น ติกัล (Tikal) มีพีระมิดของชาวมายา สูง 212 ฟุต บนยอดวิหารมีห้องมากมาย มีแท่นบูชากับหินแกะสลักอักษรภาพเป็นจำนวนมาก ตามฝาผนังของวิหารก็มีรูปสลักเต็มแทบทุกด้าน

  • เปเตน (Peten)
  • ปาเลงเก (Palenque) มีสิ่งก่อสร้างที่สร้างโดยปากัล พบหลุมศพจำนวนมากและในวิหารแห่งศิลาจารึก (Temple of the Inscriptions)
  • ซีบิลชัลตุน (Dzibilchaltun) มีวิหารขนาดใหญ่ที่ชื่อว่า The Temple of the Seven Dolls

    นักโบราณคดียุคปัจจุบันต่างตื่นตะลึงกับสิ่งก่อสร้างอันมหัศจรรย์มากมายของชาวมายาซึ่งไม่ใช้เครื่องมือโลหะในการก่อสร้างเลย เช่น วิหารรูปทรงพีระมิด ราชวังและหอดูดาว เป็นต้น ยอดพีระมิดของชาวมายาจะแบนราบต่างจากพีระมิดของชาวอียิปต์ พีระมิดที่เมืองติกัลสูงถึง 212 ฟุต บนส่วนยอดมีห้องมากมาย และแท่นบูชากับหินแกะสลักอักษรภาพ ราชวังของเมืองติกัลเป็นอาคาร 4 ชั้น มีห้องมากถึง 42 ห้อง และเมืองอักซ์มัลมีโรงละครขนาดใหญ่ มันช่างอลังการเหลือเกินอย่าว่าแต่สมัยโบราณเลย เพราะจนถึงปัจจุบันนี้การสร้างสิ่งก่อสร้างแบบนี้นับว่ายากมากๆ

    นอกจากนี้ยังมีการสันนิษฐานถึงทฤษฏีพระเจ้าจากอวกาศ หลักฐานสำคัญเกี่ยวกับพระเจ้าของชาวมายานี่ก็อีก รูปสลักภาพวาดแต่ละภาพล้วนสวยงามตามเอกลักษณ์แบบศิลปมายา แต่ก็น่าแปลกที่พระเจ้าของพวกเค้าล้วนพิลึกกึกกือเป็นที่สุด บางรูปเป็นรูปพระเจ้าขับยานอวกาศ บางภาพเป็นรูปสาวกของพระเจ้ากำลังปราบปีศาจร้าย และอาวุธที่อยู่ในมือ นักโบราณคดีต่างลงความเห็นว่า มันคือปืนอย่างไม่ต้องสงสัย เมื่อสองพันกว่าปีก่อนมีปืนใช้กันแล้วหรือครับ? ภาชนะบางชิ้นของพวกเขาก็เช่นกัน ถ้วยบางชิ้นมีภาพวาดของมนุษย์สวมหมวกอวกาศ



    ชาวมายาหายไปไหนทุกวันนี้

    นักโบราณคดียังคงศึกษาอาณาจักรมายันเพื่อไขปริศนากันต่อไป ทอม เชฟเวอร์ นักโบราณคดีหนึ่งเดียวขององค์การนาซาจากศูนย์การบินอวกาศมาร์แชล ก็เป็นคนหนึ่ง เชฟเวอร์และทีมงานทำการศึกษาซากเมืองเพเตนในประเทศกัวเตมาลาซึ่งติดกับพรมแดนเม็กซิโก โดยการขุดค้นหาหลักฐานใต้พื้นดินและใช้รีโมตเซนซิ่งหาหลักฐานที่สายตามนุษย์มองไม่เห็น สิ่งที่เชฟเวอร์ค้นพบใต้พื้นดินทั่วทั้งบริเวณของเมืองร้างแห่งนี้คือเรณูของต้นหญ้าแทนที่จะเป็นเรณูของต้นไม้ใหญ่ หลักฐานนี้แสดงว่าป่าไม้ของเมืองเพเตนลดลงกินบริเวณกว้างเมื่อประมาณ 1,200 ที่ผ่านมา ทีมงานบอกว่าเมื่อไม่มีป่า

    ฝนก็จะเกิดการกัดเซาะและการระเหยของน้ำ และการกัดเซาะจะรุนแรงจนกวาดเอาปุ๋ยที่หน้าดินไปจนหมดสิ้น หลักฐานการกัดเซาะได้ถูกค้นพบในชั้นดินตะกอนในทะเลสาบ ยิ่งไปกว่านั้นการเปลี่ยนแปลงสิ่งที่ปกคลุมพื้นดินคือป่าไม้จะทำให้อุณหภูมิสูงขึ้น บ๊อบ โอเกิลส์บี นักวิทยาศาสตร์ด้านอากาศของศูนย์การบินอวกาศมาร์แชลหนึ่งทีมงานใช้แบบจำลองคอมพิวเตอร์คำนวณผลแล้วปรากฏว่าอุณหภูมิจะสูงขึ้น 5-6 องศาเซลเซียส การที่อุณหภูมิสูงขึ้นมีผลทำให้ผืนแผ่นดินแห้งแล้งซึ่งไม่เหมาะต่อการเจริญเติบโตของพืช นอกจากนั้นอุณหภูมิที่สูงขึ้นจะมีผลกระทบต่อการมีฝนด้วย ดังนั้นในฤดูแล้งเมืองเพเตนจะตกอยู่ในสภาพขาดแคลนน้ำ ขณะที่น้ำใต้พื้นดินก็ลึกถึง 500 ฟุต จนไม่สามารถจะขุดนำมาใช้ได้ เมื่อเป็นเช่นนี้ชาวมายาจะต้องอาศัยการเก็บกักน้ำในอ่างเก็บน้ำแต่มันก็คงจะระเหยไปจนไม่ทันได้ใช้ ขณะที่อาณาจักรมายันมีประชากรจำนวนมากซึ่งจำเป็นจะต้องใช้อาหารและน้ำเป็นจำนวนมากด้วย การศึกษาพบว่าประมาณคริสต์ศักราช 800 เมืองของชาวมายามีประชากรอาศัยอยู่อย่างหนาแน่นมาก ในพื้นที่ชนบทมีประชากร 500-700 คนต่อหนึ่งตารางไมล์ และ 1,800-2,600 คนต่อหนึ่งตารางไมล์ในบริเวณศูนย์กลางของอาณาจักรทางตอนเหนือของประเทศกัวเตมาลา พอๆ กับนครลอสแองเจลิสในปี 2000 ซึ่งมีประชากร 2,345 คนต่อหนึ่งตารางไมล์ จนกระทั่งถึงคริสต์ศักราช 950 ก็เกิดความหายนะ " บางทีราว 90-95% ของชาวมายาต้องตายไป" เชฟเวอร์กล่าว หลักฐานที่สนับสนุนความเป็นไปได้ก็คือ การพบว่ากระดูกของชาวมายาซึ่งมีชีวิตอยู่ในราวสองสามทศวรรษก่อนอาณาจักรมายันจะล่มสลายซึ่งแสดงว่าเป็นโรคขาดอาหารอย่างรุนแรง เชฟเวอร์สรุปการศึกษาในครั้งนี้ว่า นักโบราณคดีเคยโต้เถียงกันมานานว่า สาเหตุของการล่มสลายว่าเป็นเพราะความแห้งแล้ง หรือสงคราม หรือโรคระบาดอย่างใดอย่างหนึ่ง แต่ตอนนี้ทีมงานของเขาคิดว่าทั้งหมดล้วนมีบทบาท ทว่าสาเหตุหลักก็คือ การขาดอาหารและน้ำอย่างยาวนาน ซึ่งเกิดจากความแห้งแล้งทางธรรมชาติผสมผสานกับการทำลายป่าไม้ของมนุษย์ และเขาคิดว่าการเรียนรู้ว่าชาวมายาทำอะไรถูกต้องและทำอะไรผิดพลาดจะช่วยให้ประชาชนพบวิถีทางที่ยั่งยืนในการทำการเกษตร โดยจะหยุดยั้งการทำสิ่งที่เลยเถิดในช่วงเวลาอันสั้นซึ่งเคยทำลายชาวมายามาแล้ว
    ภาพ : สัญลักษณ์ของชาวมายา


  • ปฏิทินมายา เกี่ยวอะไรกับปี 2012(บทความโดยคุณ Sonic)

    ชาวมายาวัดขนาดของเวลาจากเล็กไปสู่ใหญ่ จากวินาทีเป็นนาที ชั่วโมง วัน เดือน ฯลฯ อารยธรรมตะวันตกวัดเวลาตามปฏิทินเกรเกอเรียนซึ่งกินเวลา 365 วัน/ปี อันเป็นคาบเวลาที่โลกโคจรรอบดวงอาทิตย์ ถัดจากปีเราก็มายืนอยู่บนเลขฐาน 10 นั่นคือ 10 ปีต่อ 1 ทศวรรษ, 10 ทศวรรษต่อ 1 ศตวรรษ, 10 ศตวรรษต่อ 1 สหัสวรรษ บลา บลา บลา...

    แต่ปฏิทินของชาวมายานั้นแตกต่างออกไปเพราะตั้งอยู่บนค่าของเลข 20 เป็นหลัก 1 คินจะแทนค่าแทน 1 วัน นับตามแบบของเราคือโลกหมุนรอบตัวเองครบ 1 รอบ อุยนัลแทนค่า 1 เดือนประกอบด้วย 20 คิน

    ส่วนปีของมายาแทนด้วนทันอันประกอบด้วย 18 อุยนัลหรือ 360 คิน(ใกล้เคียงกับ 365 วันของพวกเรามากทีเดียว) 1 คาทันของชาวมายาเทียบได้กับทศวรรษของพวกเราเพียงแต่ยาวกว่า 2 เท่า เพราะระบบเลขของพวกเขาคือฐาน 20

    ดังนั้น 1 คาทันจะมีความยาวประมาณ 19.5 ปี สำหรับ 1 แบ็กทันจะยาว 20 คาทันหรือประมาณ 394.5 ปีจุดเริ่มการสร้างสรรค์ของชาวมายาตามบันทึกของพวกเขาซึ่งบันทึกเวลาได้เที่ยงตรงมากนั้นจะอยู่ประมาณ 3116ปีก่อน ค.ศ. วงจรนี้จะกินเวลา 13 แบ็กทันของพวกเขาหรือ 5129 ปีของพวกเรา แบ็กทันที่เก้าสิ้นสุดลงราวปี ค.ศ. 830ดังนั้นจุดสิ้นสุดของแบ็กทันที่ 13 จึงจะอยู่ที่ ค.ศ. 2012 โดยประมาณ ทีนี้ก็มาถึงประเด็นสำคัญล่ะว่า หนึ่งวงจรของชาวมายานั้นมีความสำคัญอย่างไรและนี่คือปฏิทินเทียบระหว่างปฏิทินของเรากับวงจรของชาวมายา รอบแบ็กทัน ปฏิทินมายา ปฏิทินเกรเกอเรียน เหตุการณ์สำคัญ

    1 1.0.0.0.0 3116-2734 BC จุดเริ่มต้น

    2 2.0.0.0.0 2734-2339 BC ยุคปิระมิด

    3 3.0.0.0.0 2339-1944 BC ยุคล้อ4

    4 4.0.0.0 1944-1550 BC อารยธรรมอียิปต์

    5 5.0.0.0.0 1550-1155 BC อารยธรรมบ้านเชียง

    6 6.0.0.0.0 1155 - 761 BC สงครามม้า

    7 7.0.0.0.0 761-366 BC ยุคปรัชญา

    8 8.0.0.0.0 366 BC - ค.ศ. 28 ยุคเมสไซอาห์
    9 9.0.0.0.0 ค.ศ. 28-422 อาณาจักรโรมัน
    10 10.0.0.0.0 ค.ศ. 422-817 มายา
    11 11.0.0.0.0 ค.ศ. 817-1211 สงครามครูเสด
    12 12.0.0.0.0 ค.ศ. 1211-1606 ยุคล่าอาณานิคม
    13 13.0.0.0.0 ค.ศ. 1606-2012~ ยุคอุตสาหกรรมใหม่...
    เป็นอันว่าเราเกือบครบรอบวงจรใหญ่ของชาวมายากันแล้ว โดยนับจากแบ็กทันแรกถึงแบ็กทันที่สิบสามตามเวลาปฏิทินของมนุษย์ยุคใหม่เราส่วนการอ่านปฏิทินตัวเลขของชาวมายานั้นให้อ่านแบบนี้ครับ ดูตัวเลขที่เรียกลำดับกัน 5 กลุ่ม แต่ละกลุ่มนั้นจะแทนช่วงลำดับเวลา ตามนี้
    แบ็กทัน, คาทัน, ทัน, อุยนัล, คิน
    คิน = 1 วัน
    อุยนัล = 20 คิน
    ทัน = 360 คินคาทัน = 20 ทัน (7200 คิน)
    แบ็กทัน = 20 คาทัน (144000 คิน)
    จากนั้นก็คูณตัวเลขในแต่ละช่วงเวลาออกมาเพื่อให้ได้จำนวนวันจริงๆแล้วเอาจำนวนวันจริงๆไปบวกจุดอ้างอิงของเราคือ 3116 BC. เราก็จะได้วันที่ตามปฏิทินสากลของเราแบบเท่ากันทุกประการ เป็นทฤษฎีที่หลุดโลกมาเลยใช่ไหมล่ะ ในข้อที่ว่าบรรพบุรุษของชาวมายาได้เดินทางจากห้วงอวกาศอันไกลโพ้นมาเยือนโลกพิภพของเรา เพื่อภารกิจในการสอดประสานระหว่างโลกมนุษย์กับแกแล็กซี่อื่น คุณอาจจะกำลังบริภาษอยู่ในใจว่าบ้าไปแล้วแน่ๆ
    มีหลักฐานหรือเปล่าว่าชาวมายาเดินทางมาจากดาวเคราะห์ดวงอื่น พวกเขามาที่โลกของเราได้ยังไง นั่งเรือมาเรอะ? หลักฐานการเดินทางล่ะมีไหม เอาล่ะ มีคำอยู่สองคำที่คุณต้องทำความรู้จักเอาไว้เสีย นั่นคือคำว่า ฮูแน็บ คู กับ คูซาน ซูอัม คำว่าฮูแน็บ คู หมายถึงผู้ให้การเคลื่อนไหวและมาตรวัดเดียว เป็นเทพผู้ยิ่งใหญ่ที่ดำรงอยู่เหนือดวงอาทิตย์ เหนือแกนแกแล็กซี่ที่เป็นจุดกำเนิดของทุกสิ่งทุกอย่าง ส่วนคำหลังคือ คูซาน คูอัม ถนนสู่ท้องฟ้าที่นำไปสู่แกนแกแล็กซี่หรือฮูแน็บ คู ส่วนที่ตั้งของ ฮูแน็บ คู ตามแผนที่ดาราศาสตร์ปัจจุบันคือจุดระหว่างดาวฤกษ์สองดวงในกลุ่มดาวเซ็นทอร์ใต้ มีระห่างจากโลกของเรา 139 ปีแสง จุดเชื่อมระหว่างโลกและดาวอันไกลโพ้นของชาวมายาดวงนี้ก็คือ คูซาน ซูอัม นั่นเอง ปากาล โวทาน ผู้นำชาวมายาผู้ยิ่งใหญ่ที่สุดเท่าที่เคยมีมาอาณาจักรมายาคลาสสิคมีความรุ่งเรืองถึงขีดสุดในยุคการปกครองของเขาปากาลตายในปี ค.ศ. 683 ภาพนี้คัดลอกมาจากภาพนูนแกะสลักบนฝาหินของเขาที่พบใน ค.ศ. 1952 ในอุโมงค์ฝังศพที่ตบแต่งไว้อย่างสวยงาม ในวิหารแห่งคำจารึก (Temple of inscriptions) ที่พาเลงกอในเชียพัส ประเทศเม็กซิโก นักคิดนักเขียนบางคนเรียกปากาลว่าผู้แทนแห่งแกแล็กซี่ ผู้อาศัยคูซาน ซูอัม เพื่อไปถึง ฮูแน็บ คู หลังจากที่ภารกิจของเขาลุล่วงไปแล้ว...อ่านแล้วก็ขนลุกขนพองตามใช่ไหม ทีนี้ก็มาถึงประเด็นสำคัญอีกประเด็นว่าทำไมถึงเป็นชาวมายา ไม่ใช่อียิปต์ อินคา หรือ สุเมเรียนที่เป็นอารยชนที่ยิ่งใหญ่พอๆกัน บอกได้เพียงแต่ชาวมายาก็มีอิทธิพลไม่น้อยในอารยธรรมอื่นๆ ยกตัวอย่างเช่น คำว่ามายาเป็นคำศาสนาฮินดูหมายถึงต้นกำเนิดของจักรวาลในภาษาสันสกฤตเป็นคำที่เกี่ยวโยงกับสภาพจิตใจ เวทย์มนตร์คาถาและแม่แม้แต่พระมารดาของพระพุทธองค์เองก็มีนามว่าสิริมหามายา ในภาษา อียิปต์คำว่ามาเย็ตหมายถึงระเบียบของจักรวาล ส่วนในตำนานกรีกดาวที่ส่องสว่างที่สุดในกลุ่มดาวลูกไก่และเป็นน้องคนสุดท้องก็มีนามว่ามายาขนิษฐาของเฮดีส
    ภาพปฏิทินมายา นับถอยหลัง ถึงวันสุดท้าย 21 ธันวาคม 2012 ...อะไรรอเราอยู่


    ต่อไปนี้คือคําทํานายของปี2012 ครับ

    เดือนตุลาคม ค.ศ. 2000 ชาวคอร์กิโนหลายคน เห็นดวงแสงลึกลับ ลอยวูบลงสู่พื้นดิน แล้วพุ่งกลับขึ้นไปในอากาศ ทิ้งรอยไหม้จนหินละลาย ซึ่งต่อมาหินละลายดังกล่าว ได้รับการตรวจสอบจากนักธรณีวิทยาแห่งมหาวิทยาลัยเพนซิลวาเนีย สหรัฐอเมริกา ที่ลงความเห็นว่าหินได้รับความร้อนอย่างไม่น่าเชื่อ นอกจากแสงลึกลับแล้ว ที่นี่ยังมีชายผู้หนึ่งซึ่งอ้างว่าเขาสามารถติดต่อกับมนุษย์ต่างดาวได้มานานแล้ว ล่าสุดเมื่อปี 2002 เขาก็อ้างว่าเขาถูกลักพาตัวไปยังยางนอกโลกถึง 3 วัน ซึ่งงานนี้เขาไม่ได้อ้างลอยๆ นะ เขามีพยานหลักฐานอันน่าทึ่ง และยังไม่อาจพิสูจน์ค้านได้ว่าเป็นการทำปลอม หรือกุเรื่องขึ้นเสียด้วย ชายผู้มีประสบการณ์พิเศษคนนี้ ชื่อ อูแรนเดอร์ โอลิเวียร่า เขาอ้างว่าเขาเคยติดต่อ กับมนุษย์ต่างดาวมาหลายครั้ง มนุษย์ต่างดาวของ โอลิเวียร่า ไม่ใช่ทอล ดาร์ค แอนด์ แฮนซัม แต่เป็นทอล บลอนด์ ผิวขาวร่างสูง ผมบลอนด์ ดวงตาสีฟ้าจาง โดยมีแก้วตาสีเหลืองอ่อนวางตามตัวตามแนวตั้งเหมือนตาแมว ฟังดูไม่น่าเกลียดเหมือนตัวอีทีโอลิเวียล่า บอกเราว่ามนุษย์ต่างดาวใช้สิ่งที่เรียกว่าแสงพลาสม่า เป็นเครื่องมือติดต่อสื่อสารกับเขาทางโทรจิต
    เหตุการณ์ที่น่าทึ่งที่สุดที่เกิดขึ้นเมื่อ 15 กันยายน 2002 คืนนั้น โอลิเวียร่า หายตัวไปจากห้องนอน ทิ้งไว้แต่รอยไหม้รูปร่างคนนอนบนผู้ปูเตียงและบนฝ้าเพดาน ไม่มีใครรู้ว่าเขาหายไปไหน อีก 3 วันต่อมมจู่ๆ เขาก็กลับมาอยู่ในห้องนอนนั้น และเขาอ้างตลอดว่า เวลาที่เขาหายไปนั้นเขาถูกนำตัวไปยังยานต่างดาว






    โอลิเวียร่า บอกว่าเขารู้ตัวล่วงหน้าว่าจะเกิดเหตุการณ์เช่นนี้ โดยเขาได้รับการติดต่อ ทางโทรจิตผ่านแสงพลาสม่า ว่ามนุษย์ต่างดาวจะมานำตัวเขาไปในคืนดังกล่าว โดยก่อนเกิดเหตุการณ์จะมีสัญญาณนำมาให้รู้ โดยจะเกิดฝนก้อนหินตกลงมา ค่ำวันที่ 15 กันยายน 2002 เวลาประมาณ 19.13 น. เพื่อนบ้านใกล้เคียงของ โอลิเวียร่า ต้องประหลาดใจที่ได้ยินเสียงอะไร ร่วงกรูกราวอยู่บนหลังคา เมื่อออกมาดูพบว่าเป็นก้อนหินกลมๆ ก้อนเล็ก ๆ ตกลงมาจากท้องฟ้า หลายคนช่วยเก็บก้อนหิน บางคนก็ถ่ายวีดีโอไว้เป็นหลักฐานด้วย เขาเล่าว่า ในขณะที่เขานอนอ่านหนังสืออยู่ยนเตียงสักครู่ก็มีแสงสีม่วงสว่างไปทั้งห้อง แสงนั้นรวมตัวเข้าเหมือนฟองสบู่ ร่างของเขาลอยทะลุเพดาน รู้สึกเหมือนกระดูถูกยืดออก แต่ไม่มีความเจ็บปวด ครั้งลอยพ้นผ่านหลังคาบ้านไป ลำแสงสีม่วงก็พลิกร่างเขาให้ยืนขึ้น เมื่อไปถึงยานต่างดาว ( ซึ่งเขาไมได้บอกว่ามันเป็นอย่างไร ) เขาก็ถูกนำตัวเข้าไปในฟองอากาศ ใบใหญ่ ซึ่งมีผิวบางใส คล้ายๆ ว่าข้างในคงจะคล้ายๆ ห้องฆ่าเชื้อ ปรับพลังงานให้สมดุลย์อะไรทำนองนั้น จากนั้นมนุษย์ต่างดาวผมบลอนด์ร่างสูง ก็พาเขาขึ้นบันไดไปยังชั้นบนของยาน ซึ่งเป็นห้องกว้างใหญ่เหมือนไม่มีที่สิ้นสุด ที่นั่นมนุษย์ต่างดาวให้เขาดูจอภาพ อันเป็นภาพเกี่ยวกับโลก ระบบสุริยะ และกาแล็คซี่ของเรา มนุษย์ต่างดาวบอกว่า ในวันที่ 22 ธันวาคม 2012 ( พ.ศ. 2555 ) จะเกิดปรากฎการณ์ในอวกาศครั้งใหญ่ ซึ่งจะมีผลกระทบไปทั้งจักรวาล ในวันนั้นแกแล็คซี่จะส่งแสงวาบเจิดจ้าออกมาก ดวงอาทิตย์ทุกดวงในแกแล็คซี่ จะสะท้องแสงนั้นไปยังดาวเคราะห์ที่โคจรรอบตัวมัน สิ่งมีชีวิตทั้งมวลอันมีดวงตาจะได้เห็นแสงเจิดจ้านี้ทั่วหน้ากัน โลกของเราจะปั่นป่วน ด้วยพายุสุริยะทั้งแสงอาทิตย์ก็จะร้อนจัดขึ้น
    คำทำนายของมนุษย์ต่างดาว ที่ว่าจะเกิดอาเพศขึ้นทั่วทั้งจักรวาลในวันนั้นจะเป็นจริงหรือไม่ น่าแปลกที่ว่า วันที่ 22 ธันวาคม 2012 นั้นเป็นวันสุดท้ายในปฏิทินของชาวมายาอีกด้วย อีกไม่กี่สิบปีเราคงจะได้เห็นปรากฎการณ์นั้น ว่าจะเกิดอะไรขึ้นบาง ทั้งหมดนี้ ที่ฟังมานี้ ต่างต้องล้วนใช้วิจารณญาณ แต่ถ้าเป็นจริงขึ้นมาเมื่อไหร่ .......


    บทความจากสํานักข่าวIndiadaily
    ในปี คศ. 2012 โดยครั้งล่าสุดกระบวนการนี้ได้เกิดขึ้นเมื่อหลายล้านปีที่ผ่านมาจนทำให้สัตว์จำพวกไดโนเสาร์สูญพันธุ์ จนหมดสิ้น จากการค้นคว้าวิจัยและการวิเคราะห์ร่วมกันใน Hyderabad ได้คาดการณ์ว่าการเปลี่ยนแปลงอย่างรุนแรงครั้งใหม่นี้จะเกิดขึ้นในปี คศ. 2012 การพลิกกลับของขั้วแม่เหล็ก คือ กระบวนการที่ขั้วแม่เหล็กเหนือ และขั้วแม่เหล็กใต้สลับตำแหน่งกัน เมื่อการพลิกกลับของขั้วแม่เหล็กนี้เกิดขึ้น ณ ขณะเวลาใดเวลาหนึ่ง มันหมายถึงว่าค่าการเหนี่ยวนำของสนามแม่เหล็กโลกจะลดลงจนมีค่าเป็นศูนย์หน่วยเกาซ และโลก ณ ขณะเวลานั้นจะสูญเสียอำนาจแห่งแรงดึงดูดอย่างสิ้นเชิง ซึ่งถ้าหากปรากฏการณ์นี้เกิดขึ้นควบคู่ไปพร้อมกับการสลับขั้วของดวงอาทิตย์ที่จะมีขึ้นในทุกๆ 11 ปี ในปี คศ. 2012 แล้ว ปัญหาอันใหญ่ยิ่งจะเกิดขึ้นตามมาอย่างแน่นอน ในประวัติศาสตร์ของมนุษยชาติสมัยใหม่ เรื่องราวที่เกิดขึ้นเช่นนี้ยังไม่เคยได้มีการการบันทึกไว้ จะมีก็แต่เพียงแบบจำลองทางคอมพิวเตอร์เท่านั้นที่จะสามารถทำนายผลลัพธ์ที่เคยเกิดขึ้นั้นได้

    เมื่อเร็วๆ มานี้ องค์การ NASA ได้เคยทำให้สาธารณะชนเกิดความหวาดหวั่นด้วยการออกมาเปิดเผยว่าการพลิกกลับของขั้วแม่เหล็กโลกจะทำให้ความเข้มข้นสนามแม่เหล็กโลกอ่อนลง และไร้ความมั่นคง แต่ไม่ถึงกับลดลงถึงระดับศูนย์ แต่จากแบบจำลองทางคอมพิวเตอร์ของ Hyderabad กลับพบว่าการพลิกกลับของขั้วแม่เหล็กของโลกและดวงอาทิตย์นั้น สามารถที่จะก่อให้เกิดปัญหาตามมาอย่างรุนแรงที่มากไปกว่าแค่การทำงานผิดพลาดของอุปกรณ์อิเลคทรอนิคส์เท่านั้น พวกนกที่อพยพย้ายถิ่นอยู่ตามฤดูกาลจะสูญเสียประสาทสัมผัสในการกำหนดทิศทางและอื่นๆ ตามมาอีก เช่น
    • ระบบภูมิคุ้มกันโรคในบรรดาสัตว์ต่างๆ รวมถึงมนุษย์จะอ่อนแอลง
    • โลกจะประสบกับการเพิ่มความถี่ของการเกิดภูเขาไฟระเบิด, การเคลื่อนตัวของเปลือกโลก, แผ่นดินไหว และแผ่นดินถล่ม ที่จะมีมีสูงขึ้นกว่าปรกติ
    • สภาวะความเป็นแม่เหล็ก (Magnetosphere) ของโลกจะอ่อนตัวลง และการแผ่รังสีคอสมิคจากดวงอาทิตย์จะเพิ่มปริมาณขึ้น และก่อให้เกิดอันตรายจากการแผ่รังสีคลื่นแม่เหล็กไฟฟ้า เช่น มะเร็งและอื่นๆ อีก ซึ่งไม่สามารถหลีกเลี่ยงได้
    • กลุ่มเทหวัตถุในอวกาศขนาดใหญ่จะถูกดึงดูดเข้ามายังโลกอย่างมากมาย
    • แรงดึงดูดของโลกจะประสบกับการเปลี่ยนแปลงซึ่งไม่มีใครรู้ว่ามันจะเปลี่ยนแปลงไปอย่างไร
    ถ้าคุณรวมเอาเหตุการณ์ความน่าจะเป็นที่จะเกิดการทำลายล้างเหล่านี้ทั้งหมดมาผนวกรวมกันแล้ว คุณก็จะสามารถอธิบายสิ่งที่คุณจะมองเห็นด้วยคำง่ายๆ ว่า โลกอาจจะไม่ใช่ที่เหมาะสมสำหรับอารยธรรมของมนุษยชาติในปี คศ. 2012 และผู้คนทั้งหลายผู้ซึ่งอาศัยอยู่บนพื้นผิวโลกหรือใกล้กับพื้นผิวโลก สิ่งมีชีวิตที่อาศัยอยู่ใต้ผิวโลกที่ลึกลงไปเท่านั้นที่จะมีชีวิตอยู่รอด โดยปราศจากการแทรกแซงใดๆ ในกระบวนการที่จะเกิดขึ้นโดยธรรมชาตินี้ คงเป็นเวลาอีกหลายล้านปีถัดจากนี้ เราจึงจะได้เห็นรูปแบบของสิ่งมีชีวิตที่มีขนาดใหญ่หรือมีความชาญฉลาด ที่จะกลับมาครอบครองบนพื้นผิวโลกอีกครั้ง เหตุการณ์เช่นนี้มันอาจจะเหมือนดังเช่นที่ได้เคยเกิดขึ้นในห้วงที่เกิดคลื่นสึนามิ ซึ่งมันทำให้เรารู้สึกงงงวย และเฝ้าจ้องมองดูสิ่งที่กำลังเกิดขึ้นอย่างคิดไม่ถึงว่ามันจะเกิดขึ้นได้ แล้วในที่สุดมันก็พัดพาเราออกไปสู่ท้องทะเล ถ้าแบบจำลองนี้ถูกต้องแม่นยำ นั่นหมายถึงว่าหนทางเดียวเท่านั้นสำหรับพวกเราที่จะอยู่รอดเพื่อที่จะรักษาอารยธรรมของเราเอาไว้ต่อไป นั่นก็คือการลงไปอาศัยอยู่ใต้พื้นผิวโลกหรือไม่ก็อพยพเคลื่อนย้ายไปอาศัยยังดาวเคราะห์ดวงอื่นๆ เหตุการณ์เช่นนี้มันอาจจะเคยเกิดขึ้นมาแล้วกับดาวอังคารเมื่อย้อนหลังไปหลายล้านปีทีผ่านมา ความเคลื่อนไหวที่ไม่ปรกติของผู้มาเยือนจากนอกโลกหมายถึง UFO ในรอบ 100 ปีที่ผ่านมา ชี้ให้เห็นว่าอาจมีใครบางคนจากนอกโลกรู้ว่าจะมีเหตุการณ์รุนแรงจะเกิดขึ้นกับโลกใบนี้ อาจบางทีพวกเขาอาจจะกำลังจะพยายามที่จะช่วยเหลือพวกเราอย่างเงียบๆ ด้วยการจำลองภาพเหตุการณ์เพื่อเป็นการบอกเตือน หรือแม้แต่ย้ายพวกเราไปยังจุดหมายปลายทางที่ไหนสักแห่งที่เราไม่อาจรู้ได้.


    บทความจาก นสพ.ไทยรัฐ
    ทฤษฎีที่โด่งดังมากสุดคงต้องยกให้กับคำทำนาย ที่ว่า โลกบูดเบี้ยวใบนี้จะแตกดับในวันที่ 21 ธ.ค. 2012 หรืออีกแค่ 5 ปีข้างหน้า...ด้วยชุดเลขสวย 212012
    ทฤษฎีนี้คิดค้นขึ้นโดยชนเผ่ามายัน วันดังกล่าวถือเป็นวันสิ้นสุดปฏิทินลอง เคาต์ (Long Count) หรือ ปฏิทินลำดับที่ 3 ของชาวมายัน โดยปฏิทินลอง เคาต์ เล่มล่าสุดนั้น เริ่มต้นในปี 3114 ก่อนคริสตกาล และจะดำเนินต่อเนื่องเป็น 13 รอบบักตุน (baktun) กินเวลาทั้งสิ้นราว 5,126 ปี บวกลบออกมาแล้วก็ตรงกับปี 2012 พอดิบพอดี
    การเริ่มต้นของ 13 รอบบักตุน เรียกได้อีกอย่างว่า อาทิตย์ดวงที่ 5 ซึ่ง ช่วงเวลาดังกล่าวจะเวียนมาบรรจบเพื่อก่อกำเนิดดวงอาท ิตย์ครบ 5 ดวง ในวันที่ 21 ธ.ค. 2012 โดยคำทำนายระบุเอาไว้ว่า ในวันนั้นโลกจะเผชิญกับการเปลี่ยนแปลงครั้งมโหฬาร ไล่เรียงตั้งแต่ภัยธรรมชาติที่จะทำลายทุกสิ่งไปจนถึง สงครามอภิมหาโลกาวินาศ จนไม่มีมนุษย์คนใดมีชีวิตรอด ซึ่งอย่างหลังนี้อาจเชื่อมโยงได้กับทฤษฎีสงครามโลกครั้งที่ 3 ของนอสตราดามุส โหราจารย์ชื่อก้อง
    สถานการณ์น่าระทึกในวันอวสานโลกข้างต้นตามจินตนาการข อง อง โคลด โคเวน นักเขียนหนังสือแนวอภิปรัชญาชาวฝรั่งเศส บรรยายว่า ให้นึกถึงภาพตัวเองอยู่ในสถานีรถไฟอันแออัดตอนเช้า แล้วทันใดนั้นก็เกิดเหตุโกลาหลครั้งใหญ่ทั้งธรรมชาติ แปรปรวนและระบบ คอมพิวเตอร์หรือระบบควบคุมการทำงานของเครื่องจักรเคร ื่องยนต์ต่างๆ ขัดข้อง จนเป็นเหตุให้ขบวนรถไฟในชานชาลาพากันวิ่งออกไปคนละทิศ คนละทาง คล้ายกับซี่วงล้อเกวียน
    ในสถานการณ์อันเลวร้ายเช่นนั้นยังกดดันให้คุณจำเป็นต้องเลือกขึ้นรถไฟสัก ขบวน อย่างน้อยก็ยังรอดจากการโดนรถไฟทับตาย แต่น่าเสียดายเหลือเกินที่คุณไม่มีทางรู้เลยว่า รถไฟขบวนที่หลับหูหลับตาขึ้นไปนั้นจะพาคุณไปไหน
    น่าแปลกที่นอกจาก 212012 จะเป็นวันสุดท้ายของปฏิทินชนเผ่ามายันแล้ว ยังมีข้อมูลทางดาราศาสตร์ที่ระบุไว้ว่า จะ เกิดพลังงานลึกลับที่จะเปลี่ยนแปลงโลกไปตลอดกาล โดยในเวลาที่ดวงอาทิตย์อยู่ห่างจากเส้นศูนย์สูตรมากที่สุดในช่วง ฤดูหนาวของปี 2012 นั้น ดวงอาทิตย์จะอยู่ในระนาบเดียวกับใจกลางของทางช้างเผื อกเป็นครั้งแรกในรอบ 2.6 หมื่นปี ซึ่งหมายความว่า พลังงานทุกประเภทจากใจกลางของทางช้างเผือกจะถาโถมและ เกิดการปะทะกับพลังงาน ทั้งที่มองเห็นและมองไม่เห็นของโลกในวันที่ 21 ธ.ค. 2012 เวลา 23.11 น. (11.11 pm ตามเวลาสากล)
    สมมติว่า มีมนุษย์เหลือรอดบนโลก ก็ไม่อาจรู้ว่าจะจำตัวเองได้หรือไม่ เนื่องจากพลังงานทั้งหลาย แหล่ข้างต้นจะส่งผลให้เกิดการเปลี่ยนแปลงของ ดีเอ็นเอ นำมาซึ่งการกลายพันธุ์ หรือสรุปคร่าวๆ ได้ว่า ถึงตอนนั้นโลกจะเปลี่ยนแปลงไปอย่างสิ้นเชิง คนที่รอดต้องดิ้นรนสร้างสิ่งต่างๆ นับจากศูนย์
    นอกจากนี้ ยังมีข้อมูลทางธรณีวิทยาที่ชี้ว่า ปี 2012 คือปีที่ซูเปอร์โวลคาโน หรือภูเขาไฟใต้น้ำครบกำหนดเวลา 7.4 หมื่นปีที่จะทำลายหรือระเบิดตัวเอง โดยสัญญาณเตือนภัยครั้งล่าสุด คือ โศกนาฏกรรมคลื่นยักษ์สึนามิเมื่อปี 2004 ที่บอกให้ชาวโลกรู้ว่า โครงสร้างพื้นผิวโลกได้เกิดการเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่ และการระเบิดของซูเปอร์โวลคาโนอาจไม่ใกล้ไม่ไกลบริเว ณที่เคยเกิดสึนามิมา ก่อนและเป็นที่น่าสังเกตว่า ระยะหลังมานี้ เกิดเหตุแผ่นดินไหว ดินถล่ม และน้ำในแม่น้ำหรือทะเลสาบเหือดแห้งบ่อยครั้งทั่วโลก เป็นไปได้ที่ส่วนหนึ่งเกิดจากภาวะโลกร้อน แต่ก็ไม่อาจปฏิเสธได้เช่นกันว่าโครงสร้างของพื้นผิวโ ลกกำลังขยับและเปลี่ยน แปลงตัวเองโดยที่มนุษย์ไม่รู้ตัว


    แบบจำลองคอมพิวเตอร์ทำนายการพลิกกลับขั้วของแม่เหล็กโลกอาจนำมาสู่การสิ้นสุดอารยธรรมมนุษย์ในปี2012
    จากการทำงานของนักวิทยาศาสตร์คอมพิวเตอร์จำนวนหนึ่ง ที่ได้ศึกษาปรากฎการณ์แกนโลกพลิกตัว บอกว่าโลกและดวงอาทิตย์ ทั้งสองมีความเกี่ยวข้องกันและสัมพันธ์กัน โดยจะแลกเปลี่ยนพลังงานและใช้จนหมดกระบวนการหนึ่ง จนเกิดกระบวนการของการพลิกกลับขั้วเกิดขึ้น ซึ่งครั้งหนึ่งเคยเกิดขึ้นเมื่อหลายล้านปีก่อน เมื่อสัตว์จำพวกไดโนเสาร์ที่สาบสูญไปในช่วงเวลานั้น
    ในการค้นคว้าวิจัยส่วนตัวและของบริษัท ได้วิเคราะห์หรือทำนายด้วยระบบคอมพิวเตอร์ Hyderabad ซึ่งมีแนวโน้มเกี่ยวกับการยกระดับพลังงานขึ้นสูงสุด จะเกิดขึ้นในปี 2012 นี้
    การพลิกกลับขั้วของแกนแม่เหล็กโลก คือกระบวนการเมื่อขั้วทิศเหนือและขั้วทิศใต้กลับตำแหน่งกัน เมื่อสิ่งนี้เกิดขึ้น, ที่จุดหนึ่งของเวลา สนามแม่เหล็กโลกจะลดลงเกือบจะถึงศูนย์เกาซ์ โลกที่จุดนั้นของเวลามีคุณสมบัติของแม่เหล็กเป็นศูนย์ สิ่งนี้บังเอิญมาเกิดขึ้นพร้อมกัน กับการหมุนรอบพลิกกลับขั้วของดวงอาทิตย์ในทุกๆสิบเอ็ดปีพอดี
    ในประวัตศาสตร์ของมนุษย์ยุคใหม่ ปรากฎการณ์แกนโลกพลิกตัวที่เคยเกิดขึ้นนั้นไม่เคยถูกบันทึกมาก่อน แต่ในปัจจุบัน แบบตัวอย่างคอมพิวเตอร์สามารถทำนายผลลัพธ์ที่เป็นจริงได้ ซึ่ง NASA เคยนำคำพูดที่น่ากลัว มากล่าวถึงในที่สาธารณะเกี่ยวกับการพลิกกลับขั้วจะทำคุณสมบัติของแม่เหล็กของโลกอ่อนแอและเบี่ยงเบนไป แต่ไม่ใช่ศูนย์
    ตามแบบตัวอย่างคอมพิวเตอร์ Hyderabad การพลิกกลับเกี่ยวกับขั้วของโลกและดวงอาทิตย์สามารถเป็นสาเหตุให้เกิดปัญหาที่จริงจังดังต่อไปนี้
    • ระบบอิเล็กโทรนิคจำนวนมากจะทำงานผิดปกติ (ระบบขีปนาวุธ ,computer)
    • การอพยพของฝูงสัตว์ เช่น นก หรือปลาวาฬ ทำให้สูญเสียทิศทางและอื่นๆ
    • ระบบภูมิคุ้มกันโรคในบรรดาสัตว์รวมถึงมนุษย์จะทำให้อ่อนอย่างมาก
    • ทำให้ภูเขาไฟเพิ่มขึ้น, เกิดการเคลื่อนที่ของเปลือกโลก แผ่นดินไหว และแผ่นดินถล่ม
    • สนามแม่แหล็กโลก (Magnetosphere) จะอ่อนแอลง และการแผ่รังสีคลื่นแม่เหล็กไฟฟ้าจากดวงอาทิตย์จะเพิ่มปริมาณถึงระดับอันตราย ก่อให้เกิดมะเร็งผิวหนังตามมา ซึ่งหลีกเลี่ยงไม่ได้
    • กลุ่มวัตถุในอวกาศที่มีเส้นผ่านมากมายจะเฉียดเข้าใกล้โลกได้ง่ายขึ้น
    • แรงดึงดูดของโลกจะมีการเปลี่ยนแปลงไปจากเดิม
    ถ้าคุณรวมเค้าเรื่องการทำลายล้างกับเหตุผลทางวิทยาศาสตร์ ความเป็นไปได้เหล่านี้เป็นไปได้ทั้งหมด, คุณสามารถดูได้โดยง่าย, โลกอาจจะกลายเป็นที่ที่ไม่เหมาะสมสำหรับอารยธรรมของมนุษย์เมื่อถึงปี 2012 และผู้ที่จะรอดได้นั้นอาจต้องมีชีวิตอยู่ใด้ดินหรือใต้เปลือกโลกเท่านั้น..
    ภาพแผนที่โลกในอนาคต ที่นาย Gordon-Michael Scallion นักพยากรณ์ชื่อดังชาวสหรัฐฯเขียนขึ้น โดยระบุว่าจะเกิดขึ้นในปี 2012 โดยเหตุการณ์จะเกิดจากต้นเหตุสำคัญคือแผ่นดินไหว ภูเขาไฟระเบิดอันเนื่องมาจาก แผ่นทวีปของเปลือกโลกเคลื่อนตัว



    เอาเฉพาะส่วนสําคัญมาให้ดูครับ
    สหรัฐอเมริกา(ภาพจากwww.world-mysteries.com)



    เอเชีย

    วันจันทร์ที่ 17 สิงหาคม พ.ศ. 2552

    องค์อนุตตรธรรมมารดา มีพระโอวาทมาเตือนชาวโลก!!!

    ประทานพระโอวาทมาเมื่อวันที่ 7 ส.ค. 2484 ขึ้น 15 ค่ำ เดือน 6 ปีมะเส็ง
    ณ สำนักธรรมจงอี ประเทศสาธารณรัฐประชาธิปไตยประชาชนจีน โดยมีเนื้อความดังนี้:-

    พุทธบุตรลูกแม่ทั้งหลาย แม่ขอเตือน ให้ตั้งใจบำเพ็ญวิถีอนุตตรธรรม ขอให้ลูกพึงกำหนดรู้ในเกณฑ์กำหนดแห่งกาลเวลา และเจตนาของฟ้าเบื้องบนในเวลานี้ว่า ต้องการให้ลูกๆบำเพ็ญธรรมเพื่อกลับสู่ความเป็นอริยะ เป็นปราชญ์ให้ได้โดยเร็วด้วยวิธีลัดที่ไม่มีมาก่อน

    ในกัปสุดท้ายนี้ สิ่งที่ลงมาสู่โลกมนุษย์พร้อมกันสองอย่าง คือธรรมะกับภัยพิบัติ อันที่จริงแม่มีเมตตาจิตต่อลูกๆ ได้จัดสรรทุกสิ่งทุกอย่างไว้อย่างเป็นระบบทั้งโลกมนุษย์ ทั้งลูก

    หญิง-ชาย ให้เรียบร้อยแล้ว แต่เหตุไฉนจึงกำหนดภัยพิบัติมาครอบงำกวาดล้างโลกมนุษย์ ขอให้ลูกลองคิดดู สมัยโบราณนานมาแล้วนั้น มีกษัตริย์จีนโบราณผู้ทรงคุณธรรมอันยิ่งใหญ่ ในสมัยห้าพันปีก่อนโน้น ทรงพระนามว่า เหยา ซุ่น อวี่ ผู้คนในยุคนั้นเป็นคนใจตรง ฟ้าเบื้องบนก็พลอยสงบไปด้วย ภัยพิบัติจึงไม่เกิด เมื่อใดที่ใจคนไม่ซื่อ มีเล่ห์เหลี่ยมกลโกง เมื่อนั้นจึงมีภัยพิบัติ

    โลกมนุษย์ในยุคนี้เลวลงสุดประมาณ จารีตประเพณีอันดีงามของอารยะชนกลับถูกหมางเมิน ผู้คนรู้ฝึกฝนกลโกง โลภโมโทสัน เป็นคนร้อยเล่ห์พันเหลี่ยมโหดเหี้ยมดุร้าย หลอกลวง ไร้สิ้นคุณธรรมจริยธรรมไปทั่ว นายไร้สิ้นซึ่งคุณธรรม บ่าวข้าไม่สัตย์ซื่อ พ่อลูกขาดเมตตายำเกรงกัน ผัวไม่ซื่อสัตย์ต่อเมีย เมียไร้ซึ่งคุณธรรมหาเหตุทะเลาะตบตีกัน พี่น้องอาฆาตมาดร้ายต่อกัน เพื่อนฝูงต่างขาดสัจจะแก่กันและไม่ไว้วางใจกัน มีแต่เชือดเฉือนทิ่มแทงกัน คุณธรรม คุณสัมพันธ์ห้า และคุณธรรมแปดประการ เสื่อมถอยลง ยากแก่การฟื้นฟู

    นักวิชาการพูดแต่ทฤษฎี กล่าวหาว่าคนอื่นแต่ตนเองไม่ปฏิบัติ กสิกรชาวนาชาวสวนไม่มีคุณธรรมมุ่งหาแต่เงินทองหวังร่ำรวย กรรมกรหยาบกร้าน เกียจคร้านเห็นแก่ตัว ขาดความอดทน พ่อค้าวาณิชปลอมปนสินค้าตบตาคนซื้อ ดูถูกหาว่าโง่กว่าตน ขาดความจริงใจไม่ซื่อสัตย์ต่อลูกค้า พระสงฆ์องค์เณรลืมตรัยรัตน์และศีลห้า สาวกเต๋านอกลู่ทิ้งแนวเดิม ถือเอากระพี้เป็นเปลือกไม่ถึงแก่น ยึดเอาพิธีกรรมมากหลายมาสำคัญว่าเป็นทางหลุดพ้น สาวกศาสนาปราชญ์เรียนเพียงผิวเผินอวดรู้ว่าเป็นปราชญ์

    แม่เห็นแล้วอดเศร้าใจไม่ได้ โลกถึงยุคที่จะเกิดภัยพิบัติ หากคราวนี้ไม่มีภัยพิบัติลงมากวาดล้างโลกนี้แล้ว โลกนี้จะหมดสิ้นคนดี หาคนเป็นปราชญ์เป็นอริยะเป็นหลักนำไม่ได้เลย จึงได้กำหนดภัยพิบัติแปดประการนี้ขึ้นมา คือ "ภัยจากน้ำ ลมพายุ ภัยจากไฟเผาผลาญ ภัยจากอาวุธมหาประลัย ภัยจากทหาร ความแห้งแล้งกันดาร น้ำหลากอดอยาก ขาดแคลน กำหนดภัยธรรมชาติทั่วไปในโลกกว้างถึงเก้าเก้าแปดสิบเอ็ดภัยกับทั้งส่งรากษส และพญามารทั้งห้ามาก่อกวนโลกมนุษย์ ใช้หมื่นพันวิธีเพื่อกวาดเก็บคนชั่วเป็นระยะๆ

    บัดนี้!ถึงกาลเวลาสิ้นชะตาฟ้าดินแล้ว คนชั่วที่สั่งสมกรรมเวรมาในรอบหกหมื่นปีมานี้ จะถูกกวาดล้างใหญ่ในครั้งนี้ ทั้งจะเป็นการจำแนกแยกแยะคนดีคนเลวเหมือนแยกหินกับหยก ออกจากกัน แม่มองลงมาด้วยน้ำตาที่ไหลริน เสมือนสายธารเลือดเมฆหมอกแห่งความชั่วร้ายปกคลุมคละคลุ้งกลบไปทั่วท้องฟ้า พิบัติภัยเกิดขึ้นทุกมุมโลกโดยฝีมือมาร โจรภัยเกิดไม่เว้นแต่ละวัน สงครามย่อยเกิดขึ้นทุกหย่อมหญ้า เก้าในสิบคนต้องทนทุกข์ทรมาน น้ำท่วมฉับพลัน ฝนแล้ง น้ำแห้ง ลำคลองตื้นเขินเกิดโรคระบาดรุนแรงและโรคร้ายที่รักษายาก พืชพันธุ์ธัญญาหารไม่งอกงามอุดมสมบูรณ์เช่นแต่ก่อน
    เกิดเหตุการณ์สยดสยอง ท้องฟ้ามืดสนิทไร้เดือนดาวถึงสี่สิบเก้าวัน"
    ในวันนั้นประตูนรกเปิดออก ปล่อยให้ผีมาทวงหนี้คน หนี้ชีวิตเงินทองที่ค้างกันมา จะกันให้สิ้นในวันนั้น เป็นการล้างหนี้กันทั้งสามโลกในคราวเดียวจบสิ้น ไม่ค้างกันอีกต่อไป ลมพายุร้ายแรงเป็นมหาวาตภัยล้างโลก กวาดจักรวาลเป็นการชำระล้างทั้งสามโลก เปลี่ยนแกนกลางโลกเสียใหม่ ต่อให้ลูกมีร่างกายแข็งแกร่งปานเหล็กไหล มิอาจรอดพ้นมหันตภัยในครั้งนี้ได้ แม้ว่าภัยพิบัติครั้งนี้แม่เป็นผู้กำหนดขึ้นมาก็ตาม แต่แม่ก็ต้องร้องไห้ทุกวันคืน แม่มิอาจทำเป็นใจหินทำลายทุกอย่างทั้งดีทั้งชั่ว ทำลายทั้งหยกทั้งหินได้พร้อมกันในคราวนี้ แม่จึงได้หย่อนเส้นทางสายทองมาให้ลูกขึ้นกลับคืน เส้นทางอื่นใดมีเป็นพันเป็นหมื่นมิอาจพ้นได้ มีเส้นทางเดียวเท่านั้นที่จะรอดปลอดภัย คือ "เอกายนมรรค" ให้รีบขอรีบธรรมโองการสวรรค์ คือ วิถีอนุตตรธรรมเสีย

    นึกถึงลูกที่ลงมาเกิดกาย รับทุกข์ทรมานนานนักหนา แม่จึงสู้อุตส่าห์ขีดเขียนเพียรส่งสาสน์มาเตือนยังลูกๆทั้งหลาย ให้รีบบำเพ็ญเพื่อคืนกลับด้วยเกรงมหันตภัยจะทำลายล้างลูกที่แม่รัก ลูกที่ได้รับวิถีธรรมแล้ว อย่าลังเล ขอให้ลูกแม่รีบปฏิบัติบำเพ็ญเพื่อให้เกิดปัญญากล้า หากยังมัวหลงโลกโลกีย์นี้อยู่ ไหนเลยลูกจะรู้จักโลกอันเป็นสมมตินี้ได้ มองโลกมนุษย์ให้ละเอียดทุกจุดทุกมุม ในขณะนี้แล้วน่าเศร้ามากไหม เมื่อมหันตภัยมาถึง ต่อให้ลูกสามารถสร้างสิ่งป้องกันอันแข็งแกร่งใดๆก็ตาม ไม่อาจพ้นความวิบัติได้เลย ต้องเป็นไปตามกฎแห่งกรรม

    "พลเมืองในโลกขณะนี้ ถ้าแบ่งออกเป็นสิบส่วน ในวันเกิดมหันตภัย คนจะตายเสียเจ็ดส่วน สามส่วนที่เหลือก็ต้องทนทุกข์ยากลำบากอยู่ระยะเวลาหนึ่ง กระดูกคนตายกองโตเท่าภูเขา เลือดท่วมไหลเป็นสายธาร"

    หากยังมัวหลงใหลอยู่ในลาภยศ มัวโลภมัวหลงอยู่ ไม่ปฏิบัติบำเพ็ญธรรม สิ่งที่แน่นอนคือ ภัยพิบัติทั้งปวงทั้งเก้าเก้าแปดสิบเอ็ดภัยจะกระหน่ำให้ญาณจิตตกไปสู่โลกันตร์มหานรก ถ้าอยากให้พ้นไปจากภัยพิบัติทั้งสิ้นนี้ ให้เร่งสร้างมหากุศล แม่จะดลจิตเทพให้คุ้มครองเจ้าให้ได้สุขขณะครองสังขารกายเนื้อนี้อยู่

    ใครรู้สำนึกตัว ตื่นขึ้นมาบำเพ็ญ ได้ตามแม่กลับไปนิพพานแน่นอน ใครเป็นคนดื้อรั้นว่ายากสอนยาก ไม่ปฏิบัติบำเพ็ญ จะพลอยถูกกวาดส่งลงสู่นรกคราวมหันตภัยกวาดล้างในครั้งนี้ด้วย บัดนี้!เทพทุกพระองค์ที่มาพร้อมแม่ จะกลับคืนสู่เบื้องบนแล้ว ลูกๆทั้งหลายจงพร้อมกันมากราบส่ง แม่ขอเว้นช่วงพักและหยุดการเขียนสักครู่ก่อน แล้วจะมาให้คำสอนใหม่ให้เหมือนดังหยกทอง...

    พระโอวาท อนุตตรธรรมมารดา สิบบัญญัติ :
    ที่มา http://www.palungjit.com/board/showp...61&postcount=1

    วันอาทิตย์ที่ 16 สิงหาคม พ.ศ. 2552

    สาส์นสำคัญจากหลวงปู่เทพโลกอุดร

    0 ความคิดเห็น

    มวลมนุษย์ ภัยพิบัติ น้ำจะท่วมโลก แผ่นดินจะไหว มนุษย์ที่ดีถึงจะรอด หมู่ชนควรทำดี ให้มนุษย์มีการปฏิบัติ มวลชนทุกหมู่เหล่าต้องปฏิบัติ พระเจ้าผู้สร้างโลก มองเห็นมวลมนุษย์ กำลังจะทุกข์ยาก ล้มหายตายจาก เวลานั้นใกล้เข้ามา มนุษย์เท่านั้น ที่จะช่วยตัวเองได้ จงทำตัวเองให้ดี จงมีจิตที่ดี จึงจะรอดพ้น ไม่มีใครช่วยใครได้ แผ่นดินจะกลืนกิน มิรู้สิ้นชีวิตเท่าใด ผู้ที่จะรอดปลอดภัย ต้องอยู่ในศีลธรรม พึงรักษาชีวี อย่าคิดว่าตายแล้วดีกว่าอยู่ ต้องอดทน ผู้รอดจากภัยพิบัติ คือ ผู้ที่ต้องอยู่ต่อ เป็นผู้ที่ต้องช่วยกัน ปรับสภาพจากเหตุการณ์ ที่ผ่านพ้นแต่กว่าจะถึงตอนนั้น มนุษย์ก็แสนสาหัส ทุกข์ยากอดอยาก ยากไร้ปางตาย ไร้ความทรงจำก็มี เพราะขาด การเตรียม ด้วยความไม่รู้ มนุษย์ต้องพบ วิบากกรรมชีวิต ทุกชีวิตที่อาศัย อยู่บนโลกลำบาก มนุษย์เป็นผู้ทำทุกสิ่งด้วยมือ ของมนุษย์ทั้งสิ้น ไม่มี ไม่ใช่ ใครที่ไหนทำ เวลาใกล้เข้ามา ทุกขณะความตาย กำลังเข้ามาใกล้ตัว

    ก่อนถึงเวลา ก่อนถึงวันนั้น มนุษย์ผู้ซึ่งกระทำการทำลาย มนุษย์ด้วยกัน มันต้องพินาศเช่นกัน การกระทำของมันผู้นี้ ทำให้มนุษย์ จำนวนมากมายสิ้นชีวิต คล้ายใบไม้ร่วง มันหวังว่าจะได้เป็นใหญ่ ในแผ่นดินทั่วโลก แต่แล้วความหายนะ เข้ามาครองโลกแทน ความพินาศเต็มไปหมด ความหวังย่อยยับ ปฐพีเต็มไปด้วยเลือด ศพกลาดเกลื่อนเลือดทาแผ่นดิน ชีวิตสูญสิ้น สิ้นไร้ผู้คน มีแต่ความตาย ที่เห็นชัดความดับสูญครั้งใหญ่ ของมวลมนุษย์และสัตว์ในโลก


    ความตายเป็นผู้ชนะ ผู้แพ้คือผู้กระทำความชั่วร้าย ผู้ที่ตายทั้งหมดเป็นผู้โชคดีกระนั้นหรือ ผู้ที่รอดเป็นผู้โชคดีกระนั้นหรือ มิใช่ทุกอย่างคือ กฎแห่งกรรม วิถีแห่งกรรม มาจากที่ใด ทำไม มวลมนุษย์จึงต้องรับความดับสูญ เพราะชีวิตกับความตายเป็นสิ่งที่คู่กัน ไม่อาจหลีกเลี่ยง ไม่มีทางหนีพ้น โอกาสผู้ที่รอด หมายถึง ผู้อยู่ต่อ เพื่ออนาคตโลก ผู้ทำลายดับสิ้นสูญ โลกร้อนระอุ มีแต่ไฟ เถ้าถ่านท่วมท้นแผ่นดิน น้ำเป็นพิษ สารเคมีท่วมท้น เชื้อโรคสารพัดชนิด กัดกินผู้คน ผู้ที่รอดแสนสาหัส ทุกข์ยากรอความตาย

    ผู้มีบุญจะออกมาช่วย รักษาชีวิต ผู้คนมากมาย จะรอดชีวิตจากโรคร้าย การรักษา ไม่ต้องใช้ยา เป็นวิชา ไม่มีใครรู้จัก คนผู้นี้ รักษาผู้คน ไม่หวังสิ่งใด เพราะเป็นหน้าที่ก่อนเกิด การรักษา ไม่ต้องมาพบตัวผู้ป่วยอยู่แห่งใด รักษาได้ ไม่ต้องมา ถึงเวลาไม่ต้องค้นหา โรคจะหายเอง

    เศรษฐกิจตกต่ำ ต้องการผู้แก้ไข ทั่วโลกวุ่นวาย ขาดอาหาร น้ำตาเนืองนอง ศพลอยฟูฟ่อง เพราะน้ำหลากมา น้ำตาไหลริน ไม่มีใครได้กินอิ่ม

    มีแต่ความทุกข์ ความเศร้าโศกครอบคลุม คนทั่วโลกไม่ต่างกัน ทุกที่มีแต่ความเศร้า การสูญเสีย ของมวลมนุษย์ แต่ก็มีบางประเทศ ฟื้นตัวเร็ว การฟื้นตัวของบางประเทศรวดเร็ว เป็นประเทศเล็กๆ ประเทศที่เคยยิ่งใหญ่สูญเสียหนัก การพัฒนา เริ่มขึ้นอีกครั้ง แต่ช้า ทุกอย่างจึงกลับกัน ประเทศที่เคยเป็นมหาอำนาจ กลายเป็นผู้ยากไร้ แทบไม่น่าเชื่อ เคยมีเงินเหลือเฟือ ต้องฝืดเคือง ยิ่งกว่ากินเกลือ โลกไม่พ้นวิกฤต ความทุกข์ยังครองเมือง

    ผู้อ่อนแอจะไม่รอด อากาศหนาว หิมะถล่ม น้ำแข็งละลาย น้ำป่าหลาก ความทุกข์ยากทับถม คนตายเพราะความหนาวทุกข์ทับถมทวี กว่าจะรู้ ความดื้อรั้น ความเชื่อยาก ทำให้มนุษย์ ได้รับบทเรียน แต่ไม่เข้าใจ เพราะความตายมาเร็วเกินไป ไม่ทันรู้ตัว มนุษย์ไมทันได้คิด ไม่มีโอกาส เข้าใจ ทุกสิ่งทุกอย่าง เพราะไม่บรรลุธรรม ต้องมีชะตากรรม เวียนว่ายตายเกิด อยู่เช่นนี้ ทุกชีวี ผู้รู้เหตุการณ์ รอเวลามีน้อย ความไม่แน่นอน

    ความไม่มั่นใจ คิดว่าไม่เกิด จึงทำให้ การเตรียมตัวไม่พร้อม

    อาหารไม่พอ น้ำดื่มไม่มี หมอก็ป่วย คนไข้มากมาย โรคที่เป็นก็หายยาก พุพองทั่วร่างกาย โรคร้ายทั้งสิ้น เกาะกินร่างกายกัมมันตภาพรังสี สารเคมี เชื้อโรคมากมี ทำร้ายร่างกาย อาหารเป็นพิษ ยาปฏิชีวนะ ช่วยไม่ได้ โรคระบาด ทุกหย่อมหญ้า ชีวิตร่วงเหมือนผักปลา ไม่มีเวลา มีแต่ชีวิตที่สิ้นไป กว่าเถ้าจะมอด กว่าน้ำจะลด กว่าเชื้อโรคจะหมดสิ้น ชีวิตสิ้นไปไม่รู้เท่าไหร่ ความอดทนต้องสูงสุด ไม่มีเสียงนกร้อง มีแต่เสียงโอดครวญ ความเจ็บปวด ครองเมือง

    การครั้งนี้ กว่าจะสิ้นสุด ไม่มีใครล่วงรู้ ความไม่แน่นอน เที่ยงที่สุด ทุกชีวิต กว่าจะผ่านพ้น เหตุการณ์ สุดแสนลำบาก นอกจาก ผู้คนจำนวนหนึ่งหยั่งรู้ เตรียมรับสถานการณ์ ผู้คนเหล่านั้น มีโอกาส เป็นผู้อยู่รอด ชาวโลก กว่าครึ่งโลก ที่ล้มหายตายจาก ล้วนแล้วแต่ กรรม ฟ้าจะใสอีกครั้ง เมื่อฤดูฝนร่วงหล่น ละลายสิ่งต่างๆ ฝนจะชุ่มโชก สิ่งที่ร้ายจะกลายเป็นดี แต่ก็ต้องใช้เวลา พลิกฟื้นขึ้นมาใหม่
    ช่วยกันทำนุบำรุงรักษาทุกประเทศต้องพัฒนา เหมือนยุคเก่าย้อนมา แต่เจริญรุ่งเรือง กลายเป็นโลกยุคใหม่ วิทยาศาสตร์ล้ำหน้า ชาวประชาหน้าใส คนที่เหลือจากเหตุการณ์ มีความคิดเปลี่ยนไป ไม่มีแล้วความคิดเก่าๆ ทุกอย่างเปลี่ยนไป แม้แต่ความคิดของคน เปลี่ยนแปลงไปหมด ลดทิฐิ จิตใจดี มีเมตตาช่วยเหลือเกื้อกูลกัน การแก่งแย่งชิงดี แทบสิ้นไป มนุษย์ จิตใจร้ายยังมีอยู่ ความเมตตาค้ำจุนโลก ทุกข์สร่างโศรก

    ผู้มีเมตตาธรรมปรากฏ เพื่อนนุษย์ีช่วยเหลือกัน บำรุงรักษา ผู้มีจิตเมตตา เปิดโฉมหน้า แต่ไม่ปรากฏตัว ได้ยินแต่ข่าว ร่ำลือไปทั่ว เพื่อนมนุษย์ ทั่วโลก ต่างยินดีชื่นชม เหมือนพระเจ้ามาโปรด คนทั่วโลก ต้องการหมอรักษา หาหมอ ไม่ได้ โรคที่ระบาด ไม่มีในตำรา และไม่มียา แก้โรคที่ระบาด ความตาย มาเยือน ชีวิตมนุษย์ ได้สำนึก กว่าจะรู้ตัว เกือบจะรู้ตัว เกือบจะตาย ผู้ที่ตายไม่ได้รู้ตัว สำนึกในบาป

    คนที่เหลือ ล้วนคิดได้ ความตาย ผ่านพ้นไป ผู้มีบุญ ช่วยเหลือผู้อื่น ไม่กลัวเหนื่อย ไร้การแบ่งชั้น ทุกคนเสมอภาค ความดี ความพยายาม ผู้สร้างโลก ไม่ปล่อยให้ มนุษย์ ทุกข์ทรมานสู้กับความตาย นิมิตรหมายใหม่ ประกอบกรรมดี ละเว้นความชั่ว รักษาความดี อยู่ในศีลธรรม ตั้งมั่นในการปฏิบัติ อย่าเห็นแก่ตัว ทางสายกลาง ช่วยเหลือผู้อื่น จงมองตนเอง อย่ามัวรอเวลา ความว่าง (สุญญตา) จิตตั้งมั่น ปล่อยใจวาง จิตเป็นหนึ่ง มีสติ

    คนที่สามารถทำได้เช่นนี้ ทางสายใหม่ คือการหลุดพ้น ผู้ที่ทำได้ ไม่ต้องมาเกิด ตามวัฎจักร ทางสายนี้มีมานาน ตั้งแต่ดึกดำบรรพ์ ผู้ที่รู้ และเข้าใจ พยายามศึกษา ผิดบ้างถูกบ้าง เพื่อหาทางหลุดพ้น จากกิเลส พระเจ้าเบื้องบน เฝ้ามองดู ใครทำอะไร ไม่รอดพ้นสายตา การกระทำ ทุกสิ่งทุกอย่าง อยู่ในสายตา มีการบันทึก ผู้ที่รอดตาย ต้องมีจิตใจเข้มแข็ง อดทนต่อสถานการณ์ ไม่ใช่ง่าย สิ่งที่เลวร้าย มนุษย์ ต้องอดทนให้ได้

    กาลเวลาผ่านไป ผลที่ได้รับต่างทุกข์ถ้วนหน้า จิตใจสำคัญที่สุด เมื่อเวลานั้นมาถึง สภาวะคับขัน ผู้เข้มแข็ง จะรอดพ้น ความอดอยาก ความพลัดพราก คืบคลานเข้ามาความลำเค็ญ ผู้คนโอดครวญ ชีวิตทุกผู้ทุกนาม รอความหวัง อย่างสิ้นหวัง แต่ก็รอ สภาวะเช่นนั้น ใครทนได้ ยอดคน ชีวิตมืดมนต์ ยิ่งกว่าความมืด หนทาง มองไม่เห็น

    สิ่งลี้ลับ เริ่มปรากฏ ผู้คนแตกตื่น ได้ยินเรื่องราว อันมหัศจรรย์ ความมหัศจรรย์นั้น ไม่เคยปรากฏ ตั้งแต่สมัยพุทธกาล มาสู่ยุคปัจจุบัน มนุษย์จะได้พบ สิ่งมหัศจรรย์ ในยุคนี้ ผู้ซึ่งไม่เคยได้พบเห็น ความมหัศจรรย์ จะมีโอกาส ได้เห็น

    มงคล กริชติทายาวุธ
    ประธานชมรมศาสนาและการกุศล
    สารชมรมศาสนาและการกุศล

    ที่มา http://www.palungjitrescuedisaster.com/showthread.php?t=671&page=4

    ถ้าในปี 2551 นี้เป็นปีแห่งวันพิพากษาโลก

    0 ความคิดเห็น

            ได้ทราบสัญญาณจากธาตุรู้แล้วว่า มนุษย์นั้นเป็นตัวการหลักที่สำคัญที่สุด ในการทำให้โลกนี้เสียความสมดุลอย่างรุนแรง ในขณะที่โลกหมุน และปรับแกนของตน เพื่อถ่วงความสมดุลนั้นกลับคืนมา ถ้าเปรียบกับมนุษย์แล้ว โลกทำงานหนักแสนสาหัส โดยไม่มีเวลาหยุดพักเลย ในทุกๆ ขณะที่กิจกรรมของโลกดำเนินไป มนุษย์ก็ยิ่งสร้าง ความไม่สมดุลให้กับโลกเพิ่มพูนทวี ด้วยความไม่รู้ ไม่เข้าใจถึงสภาวะสมดุลดังกล่าว มุ่งแต่ประโยชน์ และให้ได้มาซึ่งทรัพย์ที่เรียกว่า “ มนุษย์สมบัติ ” ทั้งหลาย สงสารแต่ มนุษย์ตัวเล็กๆ ที่อาจจะไม่มีโอกาสได้รับรู้ความเป็นจริงธรรมชาติตามวัยอันควร ต้องจบชีพตนอย่างเวทนา



            เนื่องจากมนุษย์ผู้ใหญ่ทั้งโลก มีความเสื่อมของปัญญาทิพย์ อย่างถาวร จึงไม่อาจมี หรือสะสมความรู้ด้านสภาวะสมดุลของตน ของโลก ของจักรวาล มนุษย์ส่วนใหญ่ จึงประกอบอาชีพด้วยการทำลายโลกที่ตนอยู่ ให้ป่วยขั้นสาหัสขึ้นเรื่อยๆ ที่สำคัญที่สุดคือ มนุษย์ไม่รู้ว่าตนนั้นทำลายโลก และจักรวาล ให้เสียหายอย่างไร มากมายเท่าใด และยังคงทำต่อไปอย่างที่เรียกว่า ทำไปโดยรู้เท่าไม่ถึงการณ์ และทระนงว่า ตนนั้น เป็นฝ่ายพัฒนาโลกนี้ ให้เจริญงอกงามทางเทคโนโลยี วิทยาศาสตร์ หรือการค้นพบนั้นแท้จริงแล้ว มนุษย์ใช้เป็นเพียงเครื่องมือค้นหาธรรมชาติต่างหาก ยังมีธรรมชาติรอให้มนุษย์ค้นหา และเข้าใจอีกมากมายนัก แต่น่าเสียดายที่มนุษย์ ใช้วิทยาศาสตร์ เพื่อการเอาชนะกันเพียงเท่านั้น เช่น เอาชนะว่าใครรู้มากกว่ากัน เอาชนะว่า ใครจะแปรเป็นทรัพย์ (เศรษฐกิจ) ได้มากกว่ากัน เอาชนะด้วยสงครามว่าใคร มีอำนาจเหนือใคร เอาชนะว่า ใครมีชั้นความเป็นอยู่สูงกว่าพวกใคร มนุษย์เกือบทั้งโลก ตกอยู่ในอารมณ์เหล่านี้ทั้งนั้น ไม่เว้นแม้นักปราชญ์ที่พูดเก่ง ก็ซ่อน ความอยากเอารัด เอาเปรียบกับมนุษย์ที่โง่กว่า ไว้ในใจด้วยกันทั้งนั้น มนุษย์ไม่รู้เลยว่า แท้ที่จริง พวกท่านทั้งหลาย กำลังพากันเดินทางเข้าสู่หายนะมหันตภัย ของโลก ที่เกิดจากน้ำมือ ของตนเองทั้งสิ้น ยิ่งมีความรู้ ความสามารถ และ/หรืออำนาจมากเท่าใด ก็ยิ่งทำลายโลก ด้วยความเลวร้ายมากขึ้น และรวดเร็ว มากขึ้นเท่านั้น ท้ายที่สุด มนุษย์ไม่สามารถ ชนะสิ่งใดได้เลย แต่ต้องกลับเป็นผู้พ่ายแพ้ตลอดกาล อย่างน่าสงสาร



            เจ้ามนุษย์เอ๋ย ! จงมองเพื่อนมนุษย์ด้วยกันอย่างเท่าเทียม จะเห็นว่าสัญญาณข้อความที่กล่าวนี้เป็นจริง เพราะมนุษย์ไม่รู้จัก และเข้าใจซึ้งถึงสิ่งอื่นๆ เลย นอกจากกิเลสที่นำพาตน ดิ่งลงสู่หายนะสภาวะมหันตภัยเพียงเส้นทางเดียว (เริ่มด้วยความอยากนั้นเป็นจุดเริ่มต้น ตามด้วยความโกรธ และตามด้วยความหลง ซึ่งเป็นอบาย ส่องทางให้มนุษย์ เลือกเอา การทำลายสิ่งทั้งหลายทั้งปวงโดยไม่เลือกหน้า อย่างเมามัน และไร้สติ อย่างในปัจจุบัน) แต่นี้ไป มาดูผลงานการทำลายของพวกท่านกันเถิดว่า ยิ่งใหญ่มโหฬาร หรือเลวร้าย แสนสาหัสเพียงใด (ขอยกสิ่งใกล้ตัวคือ ประเทศไทย) ถ้าปราศจากการแก้ไข โดยมนุษย์เอง ตั้งแต่บัดนี้ สำหรับประเทศไทย ถ้ายังอยู่ในสภาวะปัจจุบัน มีข้อมูล ความเสียหายของพื้นที่ จากภัยพิบัติ ที่จะเกิดขึ้นกับประเทศเริ่มตั้งแต่บัดนี้ จนถึงวาระสุดท้าย เพื่อการเข้าสู่ ยุคพลังงานใหม่

    โดยเริ่มจากจังหวัดเชียงราย มีแผ่นดินยุบบางส่วน โดยเฉพาะ อ.เชียงแสน จะเสียหายจากแผ่นดินยุบ เกือบทั้งอำเภอ

    จังหวัดเชียงใหม่ เกิดรอยแยกจากรอยเลื่อนของแผ่นดินใต้จังหวัดเชียงใหม่ ทำให้เกิด ความเสียหายจากแผ่นดินไหวรุนแรงที่สุด ตามแนวรอยเลื่อน แถบเทือกเขา อำเภอแม่สะเรียง ผ่านขึ้นดอยอินทนนท์ และรอยแยกเข้าที่ลุ่มตัวเมืองเชียงใหม่ ออกไปสู่อำเภอแม่ริม ไปเข้าสู่จังหวัดเชียงราย

    แถบจังหวัดพิษณุโลก พบภัยจากน้ำเป็นบางส่วน จังหวัดกำแพงเพชรพบภัยจากน้ำเล็กน้อย

    จังหวัดตาก ส่วนที่เกี่ยวเนื่องเลียบตามชายแดนพม่า และแม่ฮ่องสอนจะเกิดภัยแผ่นดินไหว แผ่นดินแยก

    จังหวัดกาญจนบุรีเกิดแผ่นดินไหว แผ่นดินแยกยุบตามรอยเลื่อน ที่ทอดยาวไปกับเทือกเขาตะนาวศรี เกิดความร้อนผุดขึ้นบางพื้นที่

    จังหวัดสุโขทัยพบภัยจากน้ำมากพอสมควร

    ต่ำลงมาตั้งแต่จังหวัดลพบุรี อ่างทอง อยุธยาจะกลายเป็นที่ลุ่มมากขึ้น กรุงเทพมหานคร ปากน้ำ สมุทรสาคร สมุทรสงคราม ถูกน้ำคุกคามทั้งหมด

    ส่วนนครปฐม ยังคงอยู่บางส่วน ในที่สูงรอยต่อกับจังหวัดกาญจนบุรีถึงสุพรรณบุรี แต่ต้องระวังที่เก็บน้ำ เช่น ถ้าเขื่อนในจังหวัดกาญจนบุรีแตก พื้นที่เหล่านี้ก็เกิดภัยจากน้ำได้เช่นกัน

    ภาคใต้ทั้งหมดจะกลายเป็นพื้นที่เกาะ ในส่วนที่เป็นเกาะปัจจุบันเช่น ภูเก็ตจะจมหายไปจนเกือบหมด เป็นไข่มุกใต้ท้องทะเล

    อีสานเป็นพื้นที่ปลอด จากภัยพิบัติ แต่แห้งแล้งหนัก ในส่วนพื้นดินเป็นดินทรายยิ่งโก่งตัวขึ้นก็ยิ่งแห้งแล้ง ในพื้นที่ดินแดงจะมีน้ำมากขึ้น

    ภาคตะวันออกนั้น ในพื้นที่อ่อนนุ่ม จะจมน้ำลงไปก่อน แล้วน้ำจะคืนให้บางส่วนทีหลัง ส่วนพื้นที่อยู่ปลายแหลม ไม่มีเหลือที่ให้มนุษย์ มีแต่สัตว์น้ำที่ครอบครองดินแดนแทน

            สัญญาณอณูธาตุรู้ยังบ่งบอกให้รู้อีกว่า ณ วันนี้ (๒๖ มิถุนายน ๒๕๕๐) ภัยพิบัติ ซึ่งเป็นช่วงแรกของมหันตภัย ระหว่างเดือนกรกฎาคมปีนี้ ถึงเดือนกุมภาพันธ์ปีหน้านั้น มีความชัดเจนขึ้นมาก ที่มนุษย์และสรรพชีวิตจะต้องพบกับ "ภัยร้ายทางน้ำ" มาเป็นเอก

           ส่วนภัยทางอื่นรองลงมาแต่มีความเกี่ยวข้องกันด้วยที่ว่าธาตุดิน น้ำ ลม และไฟ ทำงานร่วมกันเสมอ ในพื้นที่ที่มีน้ำน้อยจะประสบสภาวะขาดน้ำ พื้นที่ใดมีน้ำมาก ก็จะมีน้ำมากเกิน จนเกิดโทษ อุปกรณ์ และวัสดุที่มนุษย์ใช้กับน้ำ เช่น เขื่อน สิ่งก่อสร้างใกล้น้ำ ควรตรวจความคงทนแข็งแรง ให้มีความมั่นคงแน่นหนา ในพื้นที่เก็บน้ำในรูปหิมะจะเกิดหิมะละลายอย่างรวดเร็ว โดยเฉพาะที่สูง และจะเกิดสภาวะความร้อนสูงเข้ามาแทนที่ เนื่องจากหิมะให้ความเย็น และยังปกปิด ไม่ให้ความร้อนใต้พิภพผุดขึ้นมาตามรอยแตกของหิน ด้วยแรงดึงดูด จากผิวเปลือกโลก จะการเกิดพายุฝน และพายุลมบ่อยมาก และรุนแรงขึ้น ปีนี้มีปริมาณน้ำมาก และสร้างความเสียหายอย่างต่อเนื่อง ด้วยมีฤดูฝนที่ยาวที่สุด เท่าที่เคยพบมาของมนุษย์ปัจจุบัน และมีแนวโน้มหนักขึ้นทุกปี สมควรที่มนุษย์ เร่งแก้ไขโดยร่วมกันสร้างสนามพลังงานแห่งมวลมนุษยชาติให้แข็งแรง และสามารถลดภัยพิบัติครั้งอีกให้ได้มากที่สุด ก่อนที่จะสายเกินไป

            มนุษย์ใฝ่ดีทั้งโลกนี้ ได้สร้างสนามพลังงานนี้ขึ้นได้มากกว่าเดิม ๑๐ % แล้ว ถึงแม้เพียงน้อยนิด แต่ก็รักษาชีวิตมนุษย์ได้มากทีเดียว ข้าคือสัญญาณธาตุรู้ในทุกสรรพสิ่ง ขออนุโมทนา เป็นปฐม ปกติข้าไม่เคยพึ่งความโชคดี แต่ข้าก็ขออวยพรให้มนุษย์และสรรพชีวิตจงโชคดี หากมนุษย์ยังเฝ้าคอยแต่โชคชะตา โดยไม่รู้จักตื่นไปกับข้า "ธาตุรู้ในทุกสรรพสิ่งแห่งสากลจักรวาล”

    โดย Dr.G.G.Junior
    คัดลอกจาก http://www.universal-signal.com

    คำทำนายหรือจะถึงคราวสิ้นชาติ

    2 ความคิดเห็น

    คำทำนายหรือจะถึงคราวสิ้นชาติ(๒๕๕๑) โดยหลวงพ่อเจริญ วัดป่ามะม่วง(มรณภาพไปแล้ว)
    ________________________________________
    คำทำนายหรือจะถึงคราวสิ้นชาติ

    เมื่อประมาณปี 2516 มีคณะรัฐมนตรี นายทหาร นายตำรวจยศนายพัน กลุ่มหนึ่ง มาเรียนถามหลวงพ่อเจริญ วัดป่ามะม่วง ให้ท่านช่วยทำนาย
    ว่าพวกกระผมจะทำการปฏิวัติ การนี้จะสำเร็จหรือไม่ แล้วผมจะได้เป็นนายกรัฐมนตรีหรือไม่

    ความจริงท่านไม่อยากยุ่งเรื่องการเมือง แต่จะบอกให้รู้ว่า

    หลวงพ่อเจริญท่านตอบว่าสำเร็จ แต่จะอยู่ในตำแหน่งได้ไม่เกิน 2 เดือน
    หลังจากนั้น นักศึกษานักเรียน ประชาชนจะออกมาขับไล่จนคุณอยู่ไม่ได้ ไม่ดี

    อย่าไปทำเลย

    คุณเคยเห็นทะเลซุงไหม!

    อีก 15 ปีหลังจากนี้ (2531)ทะเลซุง
    จะเกิดน้ำท่วมใหญ่ที่ภาคใต้ น้ำจะท่วมถึงยอดตาล
    วัดวาอารามจะพังพินาศ คนจะล้มตายจำนวนมาก

    และต่อจากนั้นอีก 20 ปี(2551)
    แผ่นดินจะถูกแยก ต่างชาติจะเข้ามายึดแผ่นดินไทย
    คนไทยจะไม่มีที่อยู่ โดนขับไล่
    ทุกอย่างที่กล่าวมานี้เป็นกฎแห่งกรรม
    จงไปบันทึกเอาไว้ ถ้าไม่จริงอาตมายอมถูกปรับ



    ท่านกล่าวอีกว่า.....
    อาตมาจะมรณภาพวันที่ 14 ตุลาคม2521 เวลาเที่ยง12.45 น.
    ด้วยอุบัติเหตุรถคว้ำคอหักตาย และท่านก็มรณภาพวันนั้นจริงๆ

    อ่านจากหนังสือ สัตว์โลกย่อมเป็นไปตามกรรม ของ สุทัสสา อ่อนค้อม
    ก็ภาวนาอย่าให้หลวงพ่อเจริญท่านทำนายถูกเลยครับ..... คนไทยแย่กันแน่ๆ
    *********************
    อ้างอิงข้อความจากลานธรรม โดยคุณ คนโคราช
    ********************

    เกี่ยวกับผู้เขียน
    คุณ สุทัสสา อ่อนค้อม คือ นามปากกาของ รองศาสตราจารย์ ด.ร สุจิตรา รณรื่น
    รองคณบดีฝ่ายวิชาการ คณะมนุษย์ศาสตร์ สถาบันราชภัฏธนบุรี


    ซึ่งงานเขียนส่วนใหญ่จะหนักไปแนวธรรมะ แต่ก็ไม่ได้เป็นงานเขียนที่หนักเกินไปอย่างที่นิยมอ่ านกันก็จะเป็น นารีผล มักกะลีผล ซึ่งอย่าเพิ่งคิดว่าเป็นเรื่องเกี่ยวกับต้นไม้ในป่าห ิมพานต์ที่ออกลูกเป็นคนโดยตรงหรอกนะครับ เป็นพระประวัติ ของพระเทพสิงหบุราจารย์ ... หลวงพ่อจรัญ เจ้าคณะจังหวัด สิงห์บุรี
    ผ่านพระครูเจริญ เจ้าอาวาสวัดป่ามะม่วง ในเรื่อง นารีผล และ มักกะลีผล ตอนนี้คุณสุทัสสา ก็เขียนประวัติท่านมาถึง เรื่อง... วัฏจักรแห่งชีวิต ที่กำลังพิมพ์เป็น

    ตอน ๆ ในนิตยาสาร กุลสตรี


    เป็นเรื่องราวที่น่าหาอ่านมาก ๆ นะครับหลวงพ่อจรัญเอง
    ท่านก็เป็นพระที่เก่งในด้านวิปัสสนากร รมฐานมาก

    มีชื่อเสียงโด่งดังไปทั่วโลก ผมเองก็ไปนมัสการท่านอยู่บ่อย ๆ
    นอกจากนี้ ยังมีนวนิยายอีกหลายเรื่องที่น่าอ่าน
    อย่าง คนเหมือนกัน ดั่งฉัตรแก้วกั้นเกศ ไฟไหนเล่าร้อนเท่าไฟนรก
    หรือ สัตย์โลกย่อมเป็นไปตามกรรม


    แถมยังมีคอลัมน์ตอบปัญหาธรรมะ และการนั่งวิปัสนากรรมฐาน ใน กุลสตรี อีก
    ก็คือ คอลัมน์ ใต้ร่มมณฑารพ


    คุณสุทัสสา อ่อนค้อม ได้รับรางวัลความเรียงชนะเลิศ
    จากองค์กรนักคิดใหม่ เรื่อง.... การสร้างสันติภาพโลกแบบยั่งยืน

    ที่มาข้อมูล จากคุณ อติรูป (คลิ๊ก ) http://www.sakulthai.com/webboard/Qu...v.asp?GID=5434

    รายงานแผ่นดินไหวทั่วโลก




    รายงานแผ่นดินไหวภายในประเทศและใกล้เคียง